ความผันผวนของค่าเงินเยนอาจส่งผลกระทบต่อสกุลเงินอื่น ๆ ของรัฐบาล เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ สถานการณ์นี้อาจกระตุ้นให้นักลงทุนหันมาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและ Bitcoin
- เงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลงเมื่อวันศุกร์ แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1990 เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
- Bitcoin ทรงตัวในช่วงแรกประมาณ $64,000 ก่อนร่วงในวันต่อมา
- การแทรกแซงอาจเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้หากการลดค่าเงินเยนยังคงดำเนินต่อไป
คริปโตเคอร์เรนซีซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่ามักมีความผันผวนสูง ทรงตัวในวันศุกร์ก่อนปรับตัวลดลงในวันต่อมา การร่วงลงของเงินเยนญี่ปุ่นสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 34 ปี เทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ผู้สังเกตการณ์ตลาดแบบดั้งเดิมพิจารณากลยุทธ์เพื่อรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
ราคา Bitcoin ทรงตัวอยู่แถว ๆ $64,000 ก่อนร่วงลงมาในวันถัดมาหลุด $63,000 เกือบ 2% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 32 ปี เทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลมาจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ใกล้เคียงศูนย์ และไม่ได้แสดงความกังวลต่อเงินเยนที่อ่อนค่าลง ในทางกลับกัน เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงสูง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ทำให้ความหวังในการปรับลดนโยบายการเงินในปีนี้น้อยลง
“การเปลี่ยนแปลงของสกุลเงินที่มีขนาดและความเร็วเช่นนี้ไม่ปกติ ดังนั้นฉันจึงคาดหวังว่าจะมีการแทรกแซงหรือประสานงานบางอย่างในไม่ช้าหากยังคงดำเนินต่อไปในอีกสองสามสัปดาห์ข้างหน้า” Quinn Thompson ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Lekker Capital กล่าว
เงินเยนอ่อนค่าลงอาจยังไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตเคอเรนซี แต่สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปได้หากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เข้าแทรกแซงเพื่อพยุงค่าเงินเยน Noelle Acheson นักวิเคราะห์ ผู้เขียนรายงาน “Crypto Is Macro Now” กล่าวว่า การแทรกแซงดังกล่าวอาจหมายถึงการที่ BOJ ขายสินทรัพย์ดอลลาร์สหรัฐ (พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ) เพื่อซื้อเงินเยน
รูปแบบการแทรกแซงอีกประการหนึ่งอาจมาจากนักกำหนดนโยบายของสหรัฐฯ ที่ตัดสินใจเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด ซึ่งอาจสนับสนุนสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น คริปโตเคอร์เรนซี Thompson กล่าว
Noelle Acheson นักวิเคราะห์จาก Genesis Global Trading คาดการณ์ว่า “ความผันผวนของค่าเงินจะไม่หยุดอยู่แค่เงินเยน” สาเหตุมาจากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากรายงานตัวเลขเงินเฟ้อที่หนืด ซึ่งจะกดดันค่าเงินอื่น ๆ และอาจบีบให้ธนาคารกลางอื่น ๆ ออกมาตรการเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้
“เราอาจจะเห็นการเทขายพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะยิ่งส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็จะยิ่งทำให้เงินเฟ้อในภูมิภาคอื่น ๆ รุนแรงขึ้น” Acheson กล่าว “ความผันผวนและความเปราะบางของสกุลเงินเหล่านี้อาจกระตุ้นให้บริษัทและแม้แต่รัฐบาลมีการถือครองสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น เช่น ทองคำและ Bitcoin”
ที่มา : coindesk.com