ภูมิทัศน์ทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สองปีที่ผ่านมาได้ให้ความท้าทายที่แตกต่างแก่เรา ปัจจัยหลักได้แก่ อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุด 9.1% ในเดือนมิถุนายน 2022 ทำให้เฟดต้องดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกหลายครั้งและยังดำเนินต่อไป
ในขณะเดียวกัน อุตสหากรรมคริปโตก็ฝ่าฟันพายุของตัวเองไปได้ โดยเกิดจากการล่มสลายของโครงการสำคัญ ๆ เช่น Terra/Luna, Celsius, Voyager และ FTX รวมไปถึงธนาคารที่สนับสนุน เช่น Silvergate, Signature, Silicon Valley Bank และอื่น ๆ อีกมากมาย
ท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านั้น ผู้สร้างบล็อกเชนยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมีขอบเขตของสินทรัพย์ในโลกแห่งความจริง (realm of real-world assets, RWA) ปรากฎเป็นสัญญาณแห่งนวัตกรรมและความยืดหยุ่น หัวใจหลักของการสร้างโทเคนสินทรัพย์ในโลกแห่งความเป็นจริงจะสร้างเครื่องมือการลงทุนบนบล็อกเชนที่เชื่อมโยงกับสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์หรือรถยนต์ หรือสิ่งอื่นใดที่อาจมีอยู่ในรูปแบบทางกายภาพ เมื่อความเป็นเจ้าของถูกบันทึกบนเครือข่ายแล้ว สินทรัพย์ก็สามารถซื้อขาย แยกส่วน หรือถือครองอย่างปลอดภัยได้
เมื่อเร็วก้าวสู่ปี 2024 ต่อไปนี้เป็นเทรนด์ RWA 7 ประการด้วยกันที่พร้อมเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเงิน
1. Stablecoin ต่าง ๆ : รากฐานทางการเงินที่ตั้งโปรแกรมได้
ขณะที่กฎระเบียบของรัฐบาลกลางเริ่มปรากฎชัดเจนขึ้น เหรียญ stablecoin ต่างๆ ซึ่งเป็นเงินที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ (programmable money) กำลังจวนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยพื้นฐานแล้วการรับรู้ของเราเกี่ยวกับลักษณะของเงินจะเปลี่ยนแปลงไป ในสหรัฐฯ มีผู้ออกเหรียญสองรายที่โดดเด่นในพื้นที่นี้ Circle (ออกเหรียญ USDC โซลูชั่นหลายเชน) และ Paxos (เสนอโซลูชั่นสร้างแบรนด์ เช่น PYUSD ของ Paypal) ทั่วโลกเหรียญ stablecoin มีมูลค่าตลาด ~$125 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างเลเยอร์โครงสร้างพื้นฐานขับเคลื่อนมูลค่าอินเทอร์เน็ต นำเสนอความยืดหยุ่นและมีเสถียรภาพ เหรียญ stablecoin ต่าง ๆ เซตขึ้นเพื่อปฏิวัติการชำระเงิน การโอนเงิน อีคอมเมิร์ซ การเงินเพื่อการค้าทั่วโลก และอื่น ๆ อีกมากมาย
2. Tokenized Treasuries : สะพานเชื่อการเงินแบบเก่าและการเงินกระจายศูนย์
การบรรจบกันที่แท้จริงของการเงินแบบเก่ากับแบบกระจายศูนย์นั้นรวมอยู่ในสินทรัพย์ที่แปลงเป็นโทเคน (tokenized treasuries) เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตระยะสั้นแบบไร้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากใกล้ศูนย์ในช่วงต้นปี 2022 เป็นประมาณ 5.4% ในเดือนตุลาค ปี 2023 บริษัทต่าง ๆ เช่น Franklin Templeton, Ondo, Backed, Maple, Open Eden และ Superstate ได้บุกเบิกการสร้างโทเคนพันธบัตรและเงินฝากระยะสั้น ข้อูลจากแพลตฟอร์มวิเคราะห์และโทเคน RWA.xyz พบว่าสินทรัพย์ใหม่นี้มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ $700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กำลังทำลายอุปสรรคในการเสนอช่องทางใหม่สำหรับการลงทุนและการเขาถึงบริการทางการเงิน
3. Private Credit: เสริมสร้างศักยภาพ SME ผ่าน DeFi
ตลาดสินเชื่อภาคเอกชน (private credit market) มูลค่าตลาด $1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และ $1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก ได้หลบหลีกจากกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง โปรโตคอลให้ยืมแบบ DeFi เช่น Centrifuge, Goldfinch, Credit, Maple, Huma และอื่น ๆ กำลังเปลี่ยนแปลงเกมเปิดทางให้เข้าถึงทุนหนี้ (debt capital) จากตลาดสาธารณะ ระบบธนาคารและผู้สร้างสินเชื่อเอกชนแบบเก่า โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมหรือภูมิศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจง ปัจจุบัน RWA.xyz ประมาณการว่าตลาดจะมีสินเชื่อที่ใช้งานอยู่ $550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่มีแรงผลักดันต่อเนื่องในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
4. Backed NFTs: ปฏิวัติการเงินของสะสม
ด้วยยอดขายทั่วโลกต่อปีมากกว่า $65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ($30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะในสหรัฐฯ) จะเห็นได้ว่ามีเงินจำนวนมหาศาลในงานศิลปะ แต่ตลาดแบบเก่าสำหรับงานศิลปะและของสะสมขาดสภาพคล่องและเป็นภาระจากค่าธรรมเนียม 15-20% สำหรับสินค้าที่มีราคาต่ำ) ตลาดของสะสมทั่วโลก (เหรียญ แสตมป์ หนังสือ การ์ตูน งานศิลปะ ของเล่น และอื่น ๆ) คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ $400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดสภาพคล่องในทำนองเดียวกัน มาร์เก็ตเพลซอย่าง eBay และตลาดซื้อขายตามสั่งขนาดเล็กให้ความสำคัญกับวงการนี้ ในขณะที่ตัวเลือกให้กู้ยืมทั่วไปจะจำกัดอยู่ที่เฉพาะโรงจำนำที่มีอัตราสูงเท่านั้น
โชคดีที่โปรโตคอลกระจายศูนย์อย่าง 4K และ arcade.xyz กำลังเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ด้วยการนำของสะสมที่จับต้องได้มาสู่บล็อกเชน การยืมและการให้ยืมสินทรัพย์ เช่น เสื้อยืด Supreme และหนังสือการ์ตูนจึงกลายเป็นจริง โครงการริเริ่มเหล่านี้มีความเป็นประชาธิปไตย ทำให้นักสะสมทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้
5. Consumer Brand NFTs: ยกระดับการมีส่วนร่วมของลูกค้า
แบรนด์ผู้บริโภคชั้นนำ เช่น Nike, Adidas, Louis Vuitton, Coca-Cola และอื่น ๆ กำลังเปิดรับ NFT ตั้งแต่ Starbucks บน Polygon ไปจนถึงความโครงการบล็อกเชนส่วนตัวที่เป็นข่าวลือของ Amazon แบรนด์ต่าง ๆ ต่างก็ใช้ประโยชน์จากบล็อกเชนเพื่อปรับปรุงรอยเท้าทางดิจิทัล (digital footprints) การมีส่วนร่วมของลูกค้า และประสบการณ์ความบันเทิงไม่ว่าจะเป็นบล็อกเชนสาธารณะหรือบล็อกเชนส่วนตัว โดยผสมผสานการเล่นเกมและองค์ประกอบเมตาเวิร์ส แบรนด์เหล่านี้กำลังกำหนดอนาคตของการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า
6. DeFi in Climate and Regenerative Finance
ท่ามกลางความกังวล ESG ที่เพิ่มมากขึ้น เทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนปลงเชิงบวกในตลาดคาร์บอนมูลค่า $2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และที่กำลังเติบโต บริษัทต่าง ๆ เช่น Flowcarbon กำลังใช้ประโยชน์จากศักยภาพบล็อกเชนเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในตลาดที่สำคัญนี้ จะต้องเติบโต 15 เท่าภายในปี 2030 เพื่อบรรลุเป้าหมายของข้อตกลงปารีส ความแม่นยำของความโปร่งใสด้วยบล็อกเชนในทุกขั้นตอนวงจรชีวิตคาร์บอนเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมอนาคตที่ยั่งยืน
7. Tokenized Deposits and Wholesale Bank Settlements: ปฏิวัติธุรกรรมข้ามพรมแดน
เทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังเปลี่ยนโฉมวิธีการที่ธนาคารจัดการกับเงินฝากโทเคน (tokenized deposits) และการชำระเงินของสถาบัน (wholesale settlements) แม้ว่าสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) อาจไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขในสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ออกตราสารหนี้เอกชนสามารถควบคุมได้ในระดับรัฐบาลกลางหรือระดับรัฐ ธนาคารหลายแห่งกำลังทดลองเทคโนโลยีบล็อกเชนในเรื่องเงินฝากโทเคนและ wholesale ภายในหรือระหว่างธนาคาร โครงการนำร่องของยักษ์ใหญ่ในวงการอย่าง Citi และ J.P. Morgan Chase แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนในทันที พื้นที่นี้ยังขยายตัวได้อีกต่อไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการเงินทั่วโลก
เทรนด์ RWA เหล่านี้ ถือเป็นประกาศยุคใหม่ทางการเงิน โดยนำเสนอโซลูชั่นสำหรับความท้าทายที่มีมายาวนาน แม้ว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอาจดูไม่มากนัก แต่ศักยภาพภาพในการเปลี่ยนแปลงนั้นนับไม่ถ้วน จะไม่ใช่แค่เทรนด์เท่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้จะเป็นรากฐานของอนาคตทางการเงินที่ครอบคลุม มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนขึ้น ขณะที่เรากำลังก้าวสู่ปี 2024 นวัตกรรมเหล่านี้จะเป็นผู้นำอย่างไม่ต้องสงสัย โดยปลดล็อคโอกาสที่ไม่มีใครเทียบเท่าได้สำหรับธุรกิจและบุคคลทั่วไป
ที่มา : coindesk.com