Jamie Dimon CEO ของ JPMorgan Chase เปิดใจต่อหน้ารัฐสภาสหรัฐฯ ว่า เขาเป็นผู้ที่ “เคลือบแคลง” ในคริปโตเคอร์เรนซี่ และเรียกสกุลเงินดิจิทัลที่ทุกคนรู้จักอย่าง Bitcoin ว่าเป็น “แชร์ลูกโซ่แบบกระจายอำนาจ”
Dimon ถูกถามถึงสิ่งที่ทำให้เขาไม่กระตือรือร้นในพื้นที่ crypto ในระหว่างการพิจารณาคดีที่จัดโดย House Financial Services Committee เมื่อวันที่ 21 กันยายน
Dimon เน้นย้ำว่า เขาเห็นคุณค่าในบล็อคเชน, การเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi), บัญชีแยกประเภท, smart contracts และ “โทเคนบางตัว” ซึ่งในขณะนั้นเขามองว่า โทเคน crypto บางตัว สามารถทำหน้าที่เป็นสกุลเงินได้
เมื่อสอบถามถึงความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับร่างกฎหมาย Stablecoin ของสหรัฐอเมริกา Dimon กล่าวว่า เขาเชื่อว่ามัยจะไม่ส่งผลมากนักกับ Stablecoin ที่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม และกฎระเบียบควรจะคล้ายกับกองทุนตลาดเงินที่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแล
Dimon เคยอธิบาย Bitcoin ว่าเป็น “การฉ้อโกง” และได้ย้ำในอดีตว่า เขาไม่มีความสนใจที่จะสนับสนุนภาคส่วนนี้ในระดับบุคคล ซึ่งเขาได้ทำให้จุดยืนของเขาอ่อนลงในบางโอกาส โดยเน้นว่า มันสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้บางกรณี เช่น การชำระเงินข้ามพรมแดน
แม้มุมมองของ Dimon เกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซี่จะไปในทางแง่ลบ แต่ JPMorgan ได้ผลักดันตัวเองให้เข้าสู่พื้นที่เทคโนโลยีบล็อคเชน โดยยักษ์ใหญ่ทางการเงินได้เปิดตัวเหรียญ Stablecoin ของตัวเองในเดือนตุลาคม 2020 ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลตัวแรกที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารสหรัฐ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการชำระบัญชี
หนึ่งสัปดาห์หลังจากเปิดตัวเหรียญ ธนาคารได้เปิดแผนกธุรกิจใหม่ที่ทุ่มเทให้กับเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เรียกว่า Onyx ตั้งแต่นั้นมา แพลตฟอร์ม Onyx ก็ถูกใช้โดยลูกค้าสถาบันรายใหญ่สำหรับการชำระเงินทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง
JPMorgan กลายเป็นธนาคารรายใหญ่แห่งแรกใน Metaverse หลังจากการเปิดเลานจ์เสมือนจริงในโลก Decentraland ที่ใช้บล็อคเชนในเดือนกุมภาพันธ์ การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทมองว่า Metaverse เป็นโอกาสทำเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์
JPMorgan ได้ ว่าจ้างพนักงานใหม่เพื่อผลักดันบริษัทไปสู่พื้นที่บล็อคเชนและคริปโต โดยล่าสุดได้ประกาศเมื่อวันที่ 9 กันยายนว่า ได้ว่าจ้างอดีตผู้บริหารของ Microsoft คุณ Tahreem Kamptom ให้เป็นผู้บริหารอาวุโสด้านการชำระเงิน โดย Kamptom ได้รับการคาดหวังให้ช่วย JPMorgan สำรวจเทคโนโลยีบล็อคเชน เนื่องจากประวัติของ Linkedin แสดงให้เห็นว่า เขาได้ใช้วิธีการชำระเงินที่เกี่ยวข้องกับคริปโตมาก่อน
ที่มา : cointelegraph.com
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่ช่องทางต่างๆเพียงคลิกที่ Line , Facebook , Twitter และ Telegram
