ความพยายามในการโปรโมตครั้งใหม่ล่าสุดของ USDT เวอร์ชั่น Tron ต้องสะดุดลง หลังจากอัยการสูงสุดรัฐนิวยอร์ก (NYAG) กล่าวหาต่อบริษัทที่อยู่เบื้องหลัง stablecoin ว่ามีการหลอกลวงเกิดขึ้น
CoinFlip สตาร์ทอัพผู้ให้บริการตู้เอทีเอ็มคริปโท (crypto ATM) ได้วางแผนเพิ่มโทเคน USDT เวอร์ชั่น Tron ไปยังตู้ ATM มากกว่า 180 เครื่อง ทำให้ผู้คนสามารถซื้อโทเคนด้วยเงินสดได้ที่ร้านสะดวกซื้อ สถานีน้ำมัน และร้านขายยาสูบทั่วนิวยอร์กได้
แต่ทว่าข้อมูลจาก Daniel Polotsky ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ CoinFlip บอกว่า แผนนี้ต้องถูกระงับออกไป เนื่องจากปัญหาคดีของศาล NYAG ที่เกี่ยวข้องกับ Tether บริษัทผู้ออกโทเคน และ Bitfinex ตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (cryptocurrency exchange) ในฐานะเจ้าของที่มีปัญหาการจัดการที่ทับซ้อนกัน
“จากปัญหาข่าวที่ออกมา เราจะชะลอการเปิดตัวของเราออกไปก่อนจนกว่าควันจะจางหายไป (หากเป็นเช่นนั้น)” Daniel Polotsky บอกกับทาง CoinDesk เมื่อวันพุธอีกว่า
เราต้องการให้แน่ใจว่า Tether และ Bitfinex ดำเนินงานอย่างถูกกฎหมาย 100%
ก่อนจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าของเรา
Daniel Polotsky
Tron ยังจำเป็นต้องชะลอโปรแกรมรางวัล $20 ล้านดอลลาร์ ออกไปก่อน ซึ่งเป็นโครงการที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริม USDT โดยเฉพาะ
โครงการบลอกเชนได้วางแผนทำงานร่วมกับ Huobi, OKEx และตลาดซื้อขายอื่น ๆ เพื่อแจกจ่าย USDT ที่ใช้เครือข่าย Tron และสนับสนุนให้ผู้ใช้งานย้ายโทเคนของพวกเขาจากโปรโตคอล Omni (ซึ่งเป็นแหล่งแรกที่ เปิดตัว USDT ออกมาและมีอุปาทานมากที่สุด) มายัง Tron พร้อมยื่นข้อเสนออัตราดอกเบี้ย 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ในการถือครองโทเคนของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม โปรแกรมรางวัลถูกเลื่อนออกไป “จนกว่าเรื่องราวของ Bitfinex และ Tether จะมีความชัดเจน” Justin Sun ซีอีโอ Tron เปิดเผยผ่านทวีต เมื่อวันพุธ
USDT ถูกออกแบบมาตรึงกับ U.S.dollar แบบ 1-ต่อ-1 และมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ไปแล้ว แม้ว่าจะมีคำถามเกี่ยวกับเงินทุนสำรองของมันก็ตาม
Letitia James จากสำนักงานอัยการสูงสุดรัฐนิวยอร์ก ได้เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า Tether ได้นำเงินสำรองมากว่า $700 ล้านดอลลาร์โปะให้กับ Bitfinex เนื่องจากไม่สามารถจัดหาเงินจำนวน $800 ล้านให้กับบริษัทตัวกลางการชำระเงินของตลาดได้
ความจริงปรากฏขึ้น USDT จำนวนราว ๆ 2.6 พันล้านเหรียญในปัจจุบัน มีเงินทุนสำรองหนุนเพียง 74% เท่านั้น และที่ปรึกษาทั่วไปของ Tether ออกมายอมรับว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง
ที่มา : coindesk.com