นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาเสนอแนะภาครัฐ กรณีกฎหมายการจัดเก็บภาษีคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งเป็นประเด็นที่ร้อนแรงในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ทั้งในแง่ของความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และเจตนาของภาครัฐว่าต้องการส่งเสริมหรือสกัดกั้นสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีไทยกันแน่
เผยเบื้องต้นหารือ ‘สรรพากร’ แล้ว คาดอธิบดีฯ นำเข้าที่ประชุมจันทร์นี้ หวั่นแก้ไขล่าช้า Talent ไทยสมองไหลและเทรดเดอร์หนีใช้เว็บนอก พร้อมมองกรณี ก.ล.ต.เตรียมกำกับ NFT ยังเร็วเกินไปตลาดยังไม่ทันโต ขออย่าทำตัวเป็น “คุณพ่อแสนรู้”
โดยนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ระบุว่า
“ข้อเสนอแนะแก่ภาครัฐที่ผมพูดมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา อย่างเรื่องเว้นการจัดเก็บภาษีคริปโท วันนี้มันเริ่มร้อนแรงขึ้น แม้มันไม่ง่ายที่จะแก้ แต่ถ้าจะแก้มันก็ต้องแก้ อำนาจ รมว.คลังทำได้ และผมก็ได้พูดคุยเรื่องนี้กับ อธิบดีกรมสรรพากร ท่านก็ยินดีที่จะรับเรื่องไปพิจารณา คงจะเป็นการประชุมในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ อธิบดีฯ เข้าใจถึงปัญหาการจัดเก็บ และจะพยายามปรับแก้ให้มันเหมาะสมได้”
โดยการจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล กฎหมายปัจจุบันกำหนดให้ผู้ลงทุนต้องนำกำไรส่วนต่างจากการถือครองหรือการโอน นำไปคิดเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) เพื่อนำไปยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และยังต้องมีภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 15% ของกำไรที่ได้ กฎหมายนี้ออกมาตั้งแต่เดือน พ.ค.2561 แต่ในทางปฏิบัติยังทำได้ยาก โดยเฉพาะการคำนวณต้นทุน และการหัก ณ ที่จ่ายที่ไม่สามารถทำได้จริง
หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ จึงได้เสนอให้รัฐบาล “ยกเลิกการจัดเก็บภาษีคริปโท” พร้อมเหตุผล 3 ข้อ ที่ได้เดินหน้าผลักดันมาตลอดหลายปีตั้งแต่ก่อนจะมี พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลปี 2561 และได้คลุกคลีอยู่ในแวดวงการเงินทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ ยืนยันจะเดินหน้าเข้าพูดคุยกับกระทรวงการคลังเพื่อหาทางออกให้เร็วที่สุด
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ระบุว่า
“ถ้าจะแก้ต้องแก้ที่ การยกเว้นการจัดเก็บ ซึ่งการยกเว้นการเก็บภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น เป็นอำนาจรัฐมนตรีคลัง และรัฐมนตรีคลังก็นำเสนอ ครม. ซึ่งเรื่องนี้ต้องเร่งทำก่อนจะเกิดผลกระทบเสียหายมากไปกว่านี้”
พร้อมอธิบายเหตุผล 3 ข้อหลักๆ ดังนี้
1.การยกเลิกจัดเก็บภาษีคริปโท จะช่วยสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ลงทุนในตลาด
2. ป้องกันคนเก่งสมองไหล และช่วยสนับสนุน GDP ประเทศ
3. กฎหมายต้องมีไว้เพื่อการพัฒนา ไม่ใช่เพื่อควบคุมและลงโทษคนทำผิด
พร้อมกล่าวต่อว่า ต้องปล่อยให้ตลาดเติบโตได้เต็มที่ก่อน ภาครัฐค่อยเข้ามาควบคุมในระดับที่เหมาะสม แต่ไม่ใช่การตัดสินใจกระโดดเข้ามากำกับควบคุมอย่างฉับพลัน เพียงเพราะเห็นว่าเกิดกระแสความนิยมในเทคโนโลยีนั้นๆ ซึ่งการทำแบบนี้มีตัวอย่างให้เห็นแล้วในอดีต ยุคของ ICO ปี 2561 ที่กำลังเติบโต เอกชนเริ่มจะสนใจระดมทุนด้วยแนวทางนี้ ขณะนั้นภาครัฐก็ได้เร่งออก พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้ที่สุดแล้วตลาดการระดมทุนแบบ ICO ก็ชะงักลง สตาร์ทอัพหันไประดมทุนในต่างประเทศแทน
ที่มา : efinancethai.com
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่ช่องทางต่างๆเพียงคลิกที่ Line , Facebook , Twitter และ Telegram