รายงานใหม่จากบริษัทวิเคราะห์บล็อคเชน Chainalysis แสดงให้เห็นว่า การใช้งาน Stablecoin ในรัสเซียเพิ่มขึ้นหลังจากเริ่มสงครามยูเครน ส่วนหนึ่งมาจากการคว่ำบาตรและภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อประเทศ
รายงานเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมเปิดเผยว่า ปริมาณการทำธุรกรรมของ Stablecoin ในรัสเซียเพิ่มขึ้นจาก 42% ในเดือนมกราคมเป็น 67% ในเดือนมีนาคมหลังจากการรุกรานยูเครนและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่นั้นมา
ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการฟอกเงินระดับภูมิภาคที่ไม่เปิดเผยชื่อพูดกับ Chainalysis ว่า การนำรัสเซียออกจากระบบ SWIFT เป็นปัจจัยที่จะทำให้ crypto ถูกใช้สำหรับการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนมากขึ้น โดยที่ Stablecoin น่าจะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่ต้องการเนื่องจากความเสถียรของราคา
รายงานยังชี้ให้เห็นว่า การใช้ Stablecoin ที่เพิ่มขึ้นบางส่วนนั้นน่าจะเกิดจากพลเมืองรัสเซียซื้อขายรูเบิลเป็นเหรียญ stablecoin เพื่อปกป้องมูลค่าของสินทรัพย์ของตน ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่สูงตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น
“ในขณะที่บางส่วนอาจมาจากธุรกิจที่ยอมรับสกุลเงินดิจิทัลสำหรับการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ แต่ก็มีแนวโน้มว่าการเพิ่มขึ้นบางส่วนนั้นเกิดจากพลเมืองรัสเซียธรรมดาที่ซื้อขายเหรียญ stablecoin เพื่อปกป้องมูลค่าสินทรัพย์ของพวกเขา ดังที่เราได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้” รายงานอธิบาย
ในขณะเดียวกัน Chainalysis ยังกล่าวเสริมอีกว่า จากการค้นคว้าพบว่ายุโรปตะวันออกมีกิจกรรม crypto ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลกในปีที่แล้ว
18.2% ของกิจกรรมสกุลเงินดิจิทัลในภูมิภาคยุโรปตะวันออก “เสี่ยง” หรือ “ผิดกฎหมาย” โดยที่เอเชียตะวันออกจะสูงสุดเป็นอันดับถัดไปอยู่ที่ 15% และแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารารองลงมาเป็นอันดับที่ 3
เมื่อเร็วนี้ๆ สหภาพยุโรปเพิ่งสั่งห้ามการชำระเงิน crypto จากรัสเซียไปยังผู้ให้บริการกระเป๋าเงินในยุโรป ซึ่งอาจกระตุ้นให้ผู้ใช้สกุลเงินดิจิทัลในประเทศใช้บริการผ่านแพรตฟอร์มที่ไม่เป็นที่รู้จัก โดยไม่มีข้อกำหนด KYC เพื่อหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตร
ที่มา : cointelegraph.com
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่ช่องทางต่างๆเพียงคลิกที่ Line , Facebook , Twitter และ Telegram