ไมค์ มาโย (Mike Mayo) นักวิเคราะห์อาวุโส Wells Fargo กล่าวเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ในรายการ CNBC news segment ว่า“เราอยู่ในยุคทองของกิจการธนาคารและเทคโนโลยี”
Mayo อธิบายว่า ช่วงปี 1990s มีการควบรวมกิจการธนาคาร แต่ระบบไม่เคยถูกรวมเข้าด้วยกัน จากนั้นเขาอธิบายว่า ยุคปี 2000s ธนาคารก็เติบโตมากเกินไป จบลงด้วย “น้ำตาตก” เนื่องจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2007-2009
Mayo ชี้ว่าวิกฤติเศรษฐกิจผ่านพ้นทศวรรษนี้ไปแล้ว 25 ปีหลังจากธนาคารแห่งชาติอนุญาตให้ธนาคารยกระดับตนเองและเติบโตขึ้นมาก เขาตั้งข้อสังเกตว่าเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับธนาคาร (เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก อย่างเช่น บล็อกเชน การเรียนรู้ของเครื่อง และธนาคารผ่านมือถือ) จะช่วยให้ธนาคารมีประสิทธิภาพและผลตอบแทนดีขึ้นว่าเดิมในทศวรรษนี้
เทคโนโลยีใหม่ ๆ จะนำพาธนาคารก้าวไปข้างหน้า ช่วยให้ปรับปรุงประสิทธิภาพและผลตอบแทนดีขึ้น มีความเสี่ยงลดลง เป็นที่ยอมรับมากขึ้น…
ทั้งหมดนี้หมายถึงอะไร
ทศวรรษที่ผ่านมา ธนาคารเพิ่งฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจช่วงปี 2007-2009
Mayo คาดการณ์ว่าภาคการเงินจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีก 10 ปีข้างหน้า หลังจาก 3 ทศวรรษที่ผ่านมาตลาดชะลอตัวในภาพรวม Mayo บอกว่าหุ้นธนาคารจะกลับมายิ่งใหญ่อย่างที่ Wall Street มิอาจคาดถึง นั่นคือ ยุคที่ธนาคารรุ่งโรจน์โดยอาศัยเทคโนโลยีมาใช้งาน
สิ่งนี้รวมถึงบล็อกเชนด้วยหรือไม่?
Mayo ไม่ได้อ้างถึงเทคโนโลยีใดโดยเฉพาะที่ทำให้กิจการธนาคารรุ่งเรือง แต่บล็อกเชนอาจเป็นองค์ประกอบสำคัญให้รุดไปข้างหน้า
เมื่อเร็ว ๆ นี้ CBinsights พบว่า เทคโนโลยีบล็อกเชนกลายเป็นการลงทุนที่ธนาคารนิยมเป็นอันดับ 7 ในปีนี้ เอาชนะการลงทุนที่สำคัญอื่น ๆ อย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ การบริการจัดการความมั่งคั่ง และตลาดทุน
ธนาคารรายใหญ่ อย่างเช่นJP Morgan, BBVA และอื่น ๆ ปัจจุบันต่างก็ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนแตกต่างกันออกไป JP Morgan กำลังออกเหรียญ JPM Coin ขับเคลื่อนด้วยบล็อกเชนสร้างระบบชำระเงินไปทั่วโลก
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม CipherTrace อ้างผลงานวิจัยพบว่า ธนาคารพาณิชย์ 10 แห่งชั้นนำในสหรัฐฯ มีธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้จดทะเบียน (อย่างเช่น ตลาดซื้อขายคริปโต) อีกด้วย
ที่มา : cointelegraph.com
——————————————————–
สนับสนุนโดยกลุ่ม Coin Thai Talk : https://www.fb.com/groups/CoinThaiTalk/ กลุ่มใหม่ของคนรักคริปโต