EigenLayer เป็นมิดเดิลแวร์ที่สร้างอยู่บนเครือข่าย Ethereum ซึ่งทำให้โปรโตคอลต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับ EigenLayer สามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายความเชื่อมั่นที่มีความปลอดภัยสูงของ Ethereum โดยไม่จำเป็นต้องสร้างชุด validator ของตัวเอง นอกจากนี้ EigenLayer ยังมีตัวเลือกเรื่องความพร้อมของข้อมูล (data availability) แบบ off-chain ให้กับ Layer 2 ต่างๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนได้อีกด้วย
EigenLayer ดึงดูดความสนใจจากตลาดด้วยการระดมทุน Series A มูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ นำโดย Blockchain Capital และดึงดูดนักลงทุนที่มีชื่อเสียงรวมถึง Polychain Capital, Electric Capital, Coinbase Ventures และ Ethereal Ventures
EigenLayer คือมิดเดิลแวร์ที่กำลังถูกสร้างขึ้นบนเครือข่าย Ethereum เพื่อทำให้เกิดความน่าเชื่อถือแบบกระจายศูนย์ (decentralized trust) โปรโตคอลที่ต้องการรวม EigenLayer จะสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายความน่าเชื่อถือที่มีความปลอดภัยสูงของ Ethereum วิธีนี้ช่วยให้โปรโตคอลสามารถเริ่มต้นเปิดตัวได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงมาก เนื่องจากพวกเขาไม่จำเป็นต้องสร้างเครือข่ายผู้ตรวจสอบ (validator set) ผ่านการให้รางวัล สิ่งนี้จะเพิ่มนวัตกรรมเชิงศักยภาพที่สามารถพัฒนาได้โดยโปรโตคอลต่าง ๆ อย่างมาก เนื่องจากเป็นการลดต้นทุนการเริ่มต้น
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2023 EigenLayer ได้เพิ่มเพดานการ stake Liquid Staking Token (LST) โดยมีข้อจำกัดใหม่ของโทเค็นที่รองรับซึ่ง stake ซ้ำได้ถึง 100,000 โทเค็น ข้อจำกัดใหม่นี้ถูกใช้เต็มจำนวนในวันที่เปิดตัว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความนิยมของ EigenLayer
EigenLayer เพิ่มความปลอดภัยให้กับโพรโทคอลบน Ethereum อย่างไร?
อย่างที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ EigenLayer ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นตลาดสำหรับความเชื่อมั่นแบบกระจายอำนาจ (decentralized trust) นั่นหมายความว่า โพรโทคอลต่างๆ สามารถผสาน EigenLayer เข้ากับระบบเพื่อยกระดับความปลอดภัยพื้นฐานของ Ethereum ด้วยการ ‘เช่า’ ความปลอดภัยนี้ ซึ่งทำได้โดยการอนุญาตให้ผู้ที่ stake ETH ทำการ stake ซ้ำ (restake) เพื่อรักษาความปลอดภัยของโพรโทคอลเหล่านี้ แทนที่จะต้องสร้างชุด validator ของตนเอง EigenLayer มีเป้าหมายในการสร้างตลาดสำหรับการ stake ซ้ำ โดยที่โพรโทคอลสามารถซื้อการรักษาความปลอดภัยแบบรวมกัน (pooled security) จาก validators ในขณะที่ validators สามารถขายการรักษาความปลอดภัยแบบรวมนี้ให้กับโพรโทคอลต่างๆ ได้
“หนึ่งในอุปสรรคหลักที่ขัดขวางนวัตกรรมในระบบนิเวศคริปโตปัจจุบัน คือข้อกำหนดให้โปรเจกต์ต่างๆ ต้องสร้างความไว้วางใจหรือระบบรักษาความปลอดภัยเชิงเศรษฐกิจของคริปโตด้วยตัวเอง เราเริ่มดำเนินงานกับ EigenLayer ด้วยความหวังว่าจะสร้างรูปแบบใหม่ที่นักพัฒนาสามารถ ‘ใช้’ ความไว้วางใจได้โดยง่าย แทนที่จะต้องสร้างมันขึ้นมาเอง และเพื่อออกแบบระบบการันตีที่ทรงพลังที่ทำให้ระบบนิเวศคริปโตปลอดภัยและมีประโยชน์มากยิ่งขึ้น”
– Sreeram Kannan, Founder and CEO, EigenLayer –
เป้าหมายของ EigenLayer คือการสร้างระบบนิเวศบล็อกเชนที่แข็งแกร่งมากขึ้น โดยที่โปรโตคอลส่วนใหญ่มีความปลอดภัยสูง
Restaking คืออะไร?
มาทำความเข้าใจกันลึกขึ้นว่า restaking (การนำไป stake ซ้ำ) คืออะไร ง่ายๆ ก็คือ restaking จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถ stake ETH เดียวกันได้ทั้งบน Ethereum และโปรโตคอลอื่นๆ เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับทุกเครือข่ายพร้อมกัน การทำ restaking จึงเป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายความเชื่อถือที่มีอยู่เดิม
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ใช้ตัดสินใจที่จะ restake ETH ของพวกเขา พวกเขากำลังเผชิญกับความเสี่ยงในการถูก slash ที่มากขึ้น ผลลัพธ์ก็คือ ผู้ที่ทำ restaking จะได้รับรางวัลการ stake ที่สูงกว่าเป็นการตอบแทนสำหรับความเสี่ยงที่เพิ่มเข้ามา
วิธีการ Restake EigenLayer นำเสนอวิธีการ restaking หลากหลายรูปแบบ (เรียงระดับความเสี่ยงจากน้อยไปมาก) ดังนี้:
- Native Restaking: Validators จะนำ staked ETH ของพวกเขาไป stake อีกครั้ง
- LSD Restaking: Validators นำสินทรัพย์ที่มีการ stake ไว้เรียบร้อยแล้วผ่านผู้ให้บริการ liquid staking เช่น Lido, Rocket Pool ฯลฯ ไป stake ซ้ำ
- LSD LP Restaking: Validators นำ LP token (Liquidity Provider Token) ของคู่สินทรัพย์ที่มี staked ETH token แบบ liquid มา stake ซ้ำ
- ETH LP Restaking: Validators นำ LP (Liquidity Provider Token) token ของคู่สินทรัพย์ที่มี ETH มา stake ซ้ำ
ภาพด้านล่างนี้สามารถอธิบายได้ด้วยแผนภูมิต่อไปนี้
วิธีการ restaking ขั้นสุดท้ายที่ผู้ใช้เลือกจะขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่พวกเขายินดีรับและประเภทของตำแหน่งที่พวกเขาถืออยู่แล้ว แล้วทำไมโปรโตคอลถึงเลือกการรีสเตกเป็นวิธีแก้ปัญหาในการสร้างความปลอดภัยให้กับโปรโตคอล?
ปัญหาที่ EigenLayer เข้ามาแก้ไข
สถาปัตยกรรมของ EigenLayer มุ่งแก้ไขปัญหาหลายประการที่ตลาดกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
- ความยากลำบากและไม่มีประสิทธิภาพเชิงต้นทุน ในการสร้างความปลอดภัยให้กับโปรโตคอล ชุด validators ที่อยู่ภายในโปรโตคอลใดๆ ถือเป็นกุญแจสำคัญที่บ่งบอกถึงระดับความปลอดภัยของโปรโตคอลนั้น ปัจจุบัน โปรโตคอลที่ถูกสร้างขึ้นบนเครือข่าย Ethereum จำเป็นต้องมีการบูทสแตรป (bootstrap) ชุด validators ด้วยตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องมีขนาดใหญ่เพียงพอเพื่อให้เกิดความกระจายอำนาจอย่างแท้จริง สิ่งนี้กลายเป็นปัญหาคอขวดที่นักพัฒนาเผชิญด้วยสองเหตุผลหลัก ๆ เหตุผลแรกคือพวกเขาจะต้องใช้เงินทุนจำนวนมากเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับ validators มาช่วยรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย เหตุผลที่สองคือเวลาที่ใช้ในการจัดการ validators ทำให้นักพัฒนาเหล่านี้ไม่สามารถทุ่มเทให้กับการพัฒนาโปรโตคอลให้ดียิ่งขึ้นได้
ตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้ก็คือ อัตราเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนต่อปี (APR) ที่สูงลิ่ว ซึ่งบางโปรโตคอลต้องมีไว้เพื่อดึงดูด stakers ให้มาช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับเครือข่าย APR ที่จ่ายให้กับผู้ใช้เหล่านี้ มาในรูปแบบของการปล่อยโทเคนเพิ่มเติม (token emission) ซึ่งจะทำให้คลังของเครือข่ายนั้นร่อยหรอลง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากแผนภาพด้านล่าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโทเค็นนอมิกส์ของโปรโตคอล Evmos เราจะเห็นว่ามีการจัดสรรโทเคนจำนวนมาก (40% < 4 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ 32%) ให้กับ ‘ผลตอบแทนการ Staking’ เพื่อดึงดูดและรักษาชุด validators ที่มีขนาดใหญ่พอ
2. การขาดอำนาจอธิปไตย โปรโตคอลที่ต้องการสร้างบน Ethereum จะต้องปฏิบัติตามชุดกฎพื้นฐานที่รวมอยู่ใน Ethereum ดังนั้น โปรโตคอลเหล่านี้จะเผชิญกับการจำกัดขอบเขตนวัตกรรมที่สามารถทำได้ การขาดอำนาจอธิปไตยนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้นักพัฒนาสร้างบนเชนอื่นๆ เช่น Cosmos ซึ่งมอบความสามารถในการปรับแต่งในระดับที่สูงขึ้น
3. ความไม่ไว้วางใจในโปรโตคอลอื่นๆ โปรโตคอลมักจะขึ้นอยู่กับโปรโตคอลอื่นๆ สำหรับการทำงานบางอย่าง เช่น ออราเคิล (oracles) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโปรโตคอลเหล่านี้อาจถูกสร้างขึ้นบนเชนอื่นนอกเหนือจาก Ethereum จึงทำให้ระดับความปลอดภัยลดลง ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ เนื่องจากความปลอดภัยของโปรโตคอลจะดีได้เท่ากับความปลอดภัยของส่วนประกอบที่อ่อนแอที่สุด ตามที่แสดงไว้ในภาพด้านล่าง
ประโยชน์ของ EigenLayer
เมื่อเราเข้าใจปัญหาที่ EigenLayer พยายามแก้ไขแล้ว เราสามารถเจาะลึกลงไปถึงประโยชน์ที่ EigenLayer มอบให้ได้
- เพิ่มความปลอดภัยให้กับโปรโตคอล
EigenLayer จะช่วยให้โปรโตคอลต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากระบบรักษาความปลอดภัยของ Ethereum ผ่านการจูงใจให้ผู้ที่ stake ETH มา stake ในโปรโตคอลของพวกเขา วิธีนี้จะช่วยให้โปรโตคอลเข้าถึงกลุ่มนักตรวจสอบความถูกต้อง (validator) ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาก และช่วยปรับปรุงระบบความปลอดภัยตั้งต้นให้ดีขึ้น - ความยืดหยุ่นระดับสูง
การสร้างโปรโตคอลบน EigenLayer จะทำให้ได้ระบบที่มีเอกราช และมีอิสระในการปรับแต่งโครงสร้าง รวมไปถึงประเภทของกลไกฉันทามติ (consensus mechanism), เงื่อนไขในการ slashing (การลงโทษ) ฯลฯ - เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุน
เนื่องจากความสามารถในการ restake (นำมา stake ซ้ำ) ETH ผู้ที่ stake จึงจะได้รับผลตอบแทนจากหลายโปรโตคอลโดยใช้เงินทุนก้อนเดียวกัน
ตลาดได้แสดงให้เห็นแล้วว่าชื่นชอบแนวคิดการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุน ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านความนิยมของโปรโตคอลอนุพันธ์ของการ stake แบบฝาก-ถอนได้ (liquid staking derivatives) อย่าง Lido และ Rocketpool โทเคนกำกับดูแล (Governance tokens) ของโปรโตคอลเหล่านี้ เช่น LDO และ RPL ก็ล้วนมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างมาก EigenLayer ทำให้ได้ประโยชน์เรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เงินทุนในระดับที่สูงขึ้นไปอีก เพราะผู้ใช้จะสามารถ stake ETH ของตัวเองในโปรโตคอล “อื่น” ได้มากกว่า 1 แห่ง และแต่ละแห่งก็จะมีระบบผลตอบแทนเพิ่มเติมของตัวเอง
ความเสี่ยงของ EigenLayer ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566 Vitalik ได้สรุปความเสี่ยงบางประการของการ restaking โดยเน้นไปที่ความเป็นไปได้ที่ฉันทามติทางสังคม (social consensus) จะรับภาระหนักเกินไป เมื่อเกิดความคาดหวังกันว่าจะต้องใช้ฉันทามติทางสังคมของ Ethereum เพื่อผลักดันให้เกิดการ fork (แยกสาย) เพื่อแก้ปัญหาที่ตามมา
“การใช้ ETH ที่ถูก stake โดย validator สำหรับจุดประสงค์อื่น ๆ แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่โดยพื้นฐานแล้วถือว่าใช้ได้ อย่างไรก็ตาม การพยายาม ‘ดึงเอา’ ฉันทามติ (social consensus) ของ Ethereum ไปใช้กับจุดประสงค์เฉพาะของแอปพลิเคชันของคุณนั้น ไม่เหมาะสม”
– Vitalik Buterin-
1. Slashing (การลดกำลังลงทุน)
จากมุมมองของผู้ใช้งาน ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดประการหนึ่งของการใช้ EigenLayer คือโอกาสในการถูก ‘Slashing’ บน consensus layer (มากถึง 50%) รวมถึงเงื่อนไขการ slashing ใดๆ ที่ทาง protocol กำหนด ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อ ETH ที่ถูก stake ไว้ที่เหลืออีก 50% ดังนั้นหากผู้ใช้กระทำการที่เป็นอันตราย ETH ที่ stake ไว้ทั้งหมด 100% ก็จะถูก slashing แต่ขณะเดียวกัน ระบบนี้ก็เป็นแรงจูงใจให้ผู้ใช้กระทำตัวอย่างสุจริตด้วย
2. Centralization Risks (ความเสี่ยงการรวมศูนย์)
มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความเสี่ยงด้านการรวมศูนย์อำนาจ เนื่องจาก ETH staker อาจเลือกเปลี่ยนการตั้งค่าของการถอนเงินไปยัง EigenLayer ด้วยผลตอบแทนที่สูงขึ้น และสิ่งนี้ก็จะก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างเป็นระบบต่อเครือข่าย Ethereum ในกรณีที่มีการใช้ประโยชน์โดยมิชอบ
3. Yield Risks (ความเสี่ยงด้านผลตอบแทน)
เมื่อเริ่มมีการ restake ใน EigenLayer โปรโตคอลต่างๆ สามารถใช้ Ethereum เพื่อความปลอดภัยได้ อย่างไรก็ตาม EigenLayer stakers ก็จะมองหาผลตอบแทนสูงสุด เพื่อเพิ่มผลกำไรให้มากที่สุด ซึ่งอาจทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างโปรโตคอลต่างๆ ที่จะนำเสนอผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อดึงดูด staker และอาจส่งผลให้ผู้ใช้โปรโตคอลได้ผลตอบแทนที่ต่ำลง
EigenDA: Data Availability Layer ทางเลือก หนึ่งในกรณีการใช้งานที่โดดเด่นที่สุดของ EigenLayer ตอนนี้คือ EigenDA ซึ่งเป็นระบบ data availability layer ที่ไม่รวมศูนย์ (decentralized) และได้รับความปลอดภัยจาก Ethereum ด้วย EigenDA ค่า gas fee บน Layer 2 (L2s) จะลดลงได้อย่างมาก สิ่งนี้เป็นไปได้เพราะ EigenDA เป็นโปรโตคอล data availability แยกต่างหากที่ได้รับความปลอดภัยจากโEthereum ต่างจากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ซึ่ง data availability อยู่รวมกับ Layer 1s การที่ Layer 1 ต้องทำงานทั้งหมดรวมถึงด้านการประมวลผล, การจัดเก็บข้อมูล และอื่นๆ จะทำให้เกิดความแออัดของเครือข่าย และทำให้ gas fee สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ EigenDA ยังให้ bandwidth ที่สูงกว่าสำหรับ data availability โดยที่ base layer ของ Ethereum สามารถประมวลผลได้ที่ 80 กิโลไบต์ (KB) ต่อวินาที ส่วน EigenDA สามารถเสนอได้ถึง 10 เมกะไบต์ (MB) ซึ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด
หนึ่งในพันธมิตรที่มีอยู่คือ Mantle ซึ่งเป็นโมดูลาร์ Ethereum L2 โดย Mantle ใช้ EigenDA เป็น Data availability layer เมื่อแยกการจัดการข้อมูล และใช้ความปลอดภัยจาก Ethereum ผ่านทาง ETH ที่ restake Mantle จะสามารถลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบน L2 ลงประมาณ 80% เมื่อเทียบกับ L2s ที่มีอยู่ และอาจจะดึงดูดผู้ใช้ได้จำนวนมาก นอกเหนือจาก Mantle แล้ว Celo ก็กำลังใช้ EigenLayer เป็น Data availability layer ด้วย เพื่อที่จะรักษาค่า gas fee ให้ต่ำสำหรับผู้ใช้
EigenLayer ยังเปิดโอกาสในการแก้ไขปัญหาการเซ็นเซอร์ใน vertical ของ MEV (maximal extractable value) ด้วย การย้าย Ethereum จากกลไกฉันทามติแบบ Proof-of-Work มาเป็น Proof-of-Stake ทำให้เกิดประเด็นด้านการเซ็นเซอร์ และเนื่องจาก EigenLayer บังคับใช้การ slashing กับผู้สร้างบล็อกที่กระทำไม่ถูกต้อง กิจกรรมไม่ชอบต่างๆ ก็จะถูกจัดการแก้ไข ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาการเซ็นเซอร์ หากต้องการความเข้าใจเพิ่มเติมในด้านนี้ คุณสามารถอ่านบทความนี้ได้ [ลิงก์]
สรุป EigenLayer เป็นหนึ่งในโปรโตคอลที่น่าสนใจที่สุดที่ถูกสร้างขึ้นมาในช่วงเวลาที่ผ่านมา สถาปัตยกรรมของโปรโตคอลนี้สามารถสร้างประโยชน์ให้กับหลายๆ ฝ่าย รวมถึงนักพัฒนาที่ทำงานด้านโปรโตคอล ที่สามารถคิดค้นนวัตกรรมได้อย่างไร้ขีดจำกัด และผู้เข้าร่วมในตลาดที่สามารถใช้เงินทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ที่สำคัญกว่านั้น เราจะเห็นระบบนิเวศ blockchain ที่แข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น ด้วยการปรับปรุงความปลอดภัยและนวัตกรรมที่ถูกนำเสนอเข้าสู่ตลาด และจะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะดึงดูดผู้ใช้หน้าใหม่ให้เข้าสู่ระบบนิเวศนี้
นอกจากนี้ เนื่องจาก testnet ได้เปิดใช้งานแล้ว เราได้รวบรวมคู่มือวิธีการใช้งาน EigenLayer testnet เพื่อให้คุณทำความเข้าใจการทำงานได้ดีขึ้น (และอาจจะมีโอกาสได้ token หาก EigenLayer ทำการ airdrop)”
ติดตามข่าวสารล่าสุดได้ที่
https://www.siambitcoin.com/