บริษัทเพย์เมนต์หยุดรับการชำระเงินด้วยคริปโตในปี 2018 เนื่องจากความผันผวนสูงของ Bitcoin
- Stripe จะกลับมาให้บริการชำระเงินด้วยคริปโตอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้ เริ่มต้นด้วยเหรียญ Stablecoin USDC ของ Circle บนบล็อกเชน Solana, Ethereum และ Polygon เท่านั้น
- บริษัทฟินเทคยักษ์ใหญ่นี้ หยุดให้บริการ Bitcoin ในปี 2018 ในช่วงช่วงฤดูหนาวครั้งแรกของคริปโต
หกปีหลังจากยกเลิกการสนับสนุน Bitcoin (BTC) และการชำระเงินด้วยคริปโตทั้งหมด Stripe กำลังนำบริการกลับมาอีกครั้งในช่วงฤดูร้อนนี้ แต่ในเบื้องต้นจะรองรับเฉพาะ USDC stablecoin ของ Circle เท่านั้น
“เรามีความยินดีที่จะประกาศว่าเรากำลังนำคริปโตกลับมาใช้เป็นวิธีการชำระเงินอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มาพร้อมประสบการณ์ที่ดีขึ้นมาก” John Collison ประธานและผู้ร่วมก่อตั้ง Stripe กล่าวปาฐกถาสำคัญที่งานประชุม Global Internet Economy ของบริษัทเมื่อวันพฤหัสบดี
บริษัทประมวลผลเพย์เมนต์นี้ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในด้านคริปโต โดยเริ่มต้นเข้าสู่ระบบนิเวศของ Bitcoin ในปี 2014 สี่ปีต่อมา ในปี 2018 บริษัทได้ยุติโครงการทั้งหมด โดยอ้างว่า Bitcoin มีความผันผวนมากเกินไป และมีแนวโน้มที่จะทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์มากกว่าตัวกลางในการแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ บริษัทยังวิจารณ์เกี่ยวกับระยะเวลาในการทำธุรกรรมใช้เวลานานและค่าธรรมเนียมที่เพิ่มสูงขึ้นในตอนนั้น
ตอนนั้น เป็นการเผชิญกับ “ฤดูหนาวแห่งคริปโต” ครั้งแรกของ Bitcoin โดยราคาโทเคนร่วงจากจุดสูงสุดที่ $19,650 ในเดือนธันวาคม 2017 เหลือเพียง $3,401 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในตอนท้ายของปี 2018
บริษัทเทคโนโลยีทางการเงินยักษ์ใหญ่หวนคืนสู่ตลาดอีกครั้งในปีถัดมา โดยร่วมก่อตั้งโปรเจค Libra ของ Facebook แต่ถอนตัวออกในปีนั้น และ Libra ไม่เคยเริ่มต้นเลย ในปี 2022 Stripe เปิดตัวโครงการเพื่ออำนวยความสะดวกเพย์เมนต์ระหว่างเงินตรากับคริปโต (fiat-to-crypto)
“คริปโตกำลังค้นพบประโยชน์ใช้สอยที่แท้จริง” Collison กล่าวในปาฐกถาสำคัญของเขาเมื่อวันพฤหัสบดี “ด้วยความเร็วในการทำธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นและค่าธรรมเนียมที่ลดลง เรากำลังเห็นว่าคริปโตเริ่มมีความหมายในฐานะเครื่องมือแลกเปลี่ยน”
การชำระเงินจะรองรับบนบล็อกเชน Solana (SOL), Ethereum (ETH) และ Polygon (MATIC) บริษัทฯ เผย
บริษัทมีมูลค่า 65 พันล้านดอลลาร์ ตามรายงานของ Bloomberg และเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการเพย์เมนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีธุรกรรมมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2023
ที่มา : coindesk.com