Ethereum ก้าวไปสู่ยุคเลเยอร์ 2 อย่างเต็มรูปแบบหลังการอัปเกรด Dencun เสร็จสิ้น Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum เรียกร้องให้ผู้คนเปลี่ยนมุมมอง
Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum เรียกร้องให้เปลี่ยนความคิดไปที่การสร้างแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (DApps) และโซลูชันบนเลเยอร์ 2 (L2) หลังจากการ Hard Fork ของ Dencun เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์
Vitalik Buterin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum กล่าวในงาน ETH Global’s Pragma London เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2024 ยกย่องการอัปเกรดเครือข่ายสำเร็จ ซึ่งช่วยให้ L2 rollups ประมวลผลธุรกรรมได้มากขึ้นด้วยการลดต้นทุนการส่งผลลัพธ์ทางคณิตศาสตร์ (cryptographic proofs) ไปยังเลเยอร์หลักของ Ethereum
“เราได้บรรลุเป้าหมายพื้นฐานในการขยายขนาดแบบโรลอัพ (Rollup Scaling) แล้ว แต่เราต้องจำไว้ว่าการพัฒนาหลังจากนี้จะค่อยเป็นค่อยไป” Buterin กล่าวกับผู้เข้าร่วมงานที่เต็มไปด้วยผู้คนในสถานที่จัดงาน Christ Church Spitalfields
งานนี้ดึงดูดผู้เข้าร่วมกว่า 500 คน ก่อนการแข่งขันแฮกคาธอน (hackathon) ที่กินเวลายาวนานตลอดสุดสัปดาห์ และการมาของ Buterin นั้นเป็นเสมือนแม่เหล็กดึงดูดผู้คนจำนวนมากในช่วงท้ายของโปรแกรมการบรรยายในวันนั้น
การเปิดตัว Dencun บน Mainnet เป็นไปอย่างราบรื่น ผู้คนจึงคาดหวังว่า Ethereum จะมีการพัฒนาอะไรต่อไป
การอัปเกรด Dencun เสร็จสิ้นแล้ว
หลังจาก Ethereum เปลี่ยนระบบฉันทามติเป็น Proof-of-Stake สำเร็จผ่าน The Merge ในปี 2022 Buterin ได้ทบทวนเกี่ยวกับโรดแม็ปของ Ethereum ที่เขาเคยเสนอไว้
Buterin กล่าวว่า เป้าหมายหลายอย่างในโรดแม็ปของเขาเป็นงานด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ซึ่งบางส่วนประสบความสำเร็จไปแล้วเมื่อ Dencun ถูกนำมาใช้งาน
Vitalik Buterin บนเวทีงาน ETH Global ในกรุงลอนดอน เมื่อเดือนมีนาคม 2024 ที่มา: Gareth Jenkinson
Dencun เป็นการอัปเกรดเครือข่ายที่รวมเอาข้อเสนอในการปรับปรุงระบบของ Ethereum (Ethereum Improvement Proposal: EIP-4844) ซึ่งข้อเสนอนี้เปลี่ยนแปลงวิธีที่ Rollup ของ Ethereum จัดเก็บข้อมูลบนเครือข่ายหลัก (Mainnet) โดย layer-2 rollup ทำหน้าที่รวบรวมและประมวลผลธุรกรรมนอกเชน (Off-chain) และส่งหลักฐานสรุป (Summary Proof) ของธุรกรรมไปยังบล็อกเชนของ Ethereum
EIP-4844 นำเสนอวิธีใหม่สำหรับ Rollups ในการเพิ่มข้อมูลราคาถูก (ลดค่าธรรมเนียม) ไปยังบล็อกโดยใช้ Blob Space แทนการใช้ Call Data สำหรับการจัดเก็บ
ในอดีต การใช้ Call Data เพื่อจัดเก็บหลักฐานการเข้ารหัสของธุรกรรมที่รวมกลุ่มนอกห่วงโซ่ (off-chain) นั้นมีค่าใช้จ่ายสูง เพราะว่าโหนด Ethereum ทั้งหมดจำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลที่ถูกเก็บไว้บนเชนของ Ethereum อยู่ตลอดเวลา
Proto-danksharding ตั้งตามชื่อของนักวิจัยที่เสนอ EIP-4844 ช่วยให้ rollup ส่งและแนบข้อมูล (data blobs) ลงในบล็อกได้ ข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกประมวลผลโดยระบบหลักของ Ethereum และจะถูกลบโดยอัตโนมัติหลังจาก 18 วัน
Ethereum กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
Ethereum เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา Buterin เชื่อว่าระบบนิเวศของ Ethereum จำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการ เพื่อให้ Ethereum ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทั้งอินเทอร์เน็ตและระบบการเงินแบบดั้งเดิม
Buterin มองทศวรรษแรกของ Ethereum ว่าเป็นช่วงเวลาที่มุ่งเน้นไปที่ภายใน สะท้อนให้เห็นถึงวิธีที่ระบบนิเวศกำลังพัฒนาสิ่งต่างๆ ให้กับตัวเอง
ผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยี (tech geeks) พยายามสร้างความพึงพอใจด้วยกัน และสร้างเทคโนโลยีที่สวยงาม ทศวรรษที่สองนี้ Ethereum จำเป็นต้องพัฒนาและส่งผลต่อโลกในวงกว้าง
Dencun hard fork มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงมุมมองของระบบนิเวศ Ethereum โดยช่วยให้ระบบเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเลเยอร์ 1 โดย Buterin คาดการณ์ว่าเลเยอร์พื้นฐานของ Ethereum จะเปลี่ยนไปจากช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ๆ ไปสู่ช่วงเวลาที่เน้นการบำรุงรักษามากขึ้น
เราผ่านช่วงของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาแล้ว ฉันคิดว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญๆ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งมันน่าทึ่งมาก
แม้ Layer 1 จะมีการเปลี่ยนแปลงต่อไป ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา แต่แนวคิดที่เน้นไปที่ Layer 2 ควรจะเป็นหลักต่อไป โดยมุ่งเน้นไปที่นักพัฒนาแอปพลิเคชัน
Buterin กล่าวว่าระบบนิเวศได้สร้างเครื่องมือมากมายสำหรับการสร้าง DApps ซึ่งหัวใจสำคัญคือ zero-knowledge proofs
พวกเขาสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่ปรับขยายได้ง่ายกว่ามาก และสร้างแอปพลิเคชันที่ปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ได้ดีกว่า ความสะดวกในการทำเช่นนั้น เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับห้าปีก่อน
Buterin เสนอให้ผู้พัฒนาใช้แนวทาง “Ethereum 2.0” ในการพัฒนา
โดยเน้นไปที่การใช้เครื่องมือและโปรโตคอลสมัยใหม่ เช่น L2 rollups เพื่อเข้าถึงประโยชน์ด้านความเป็นส่วนตัว (privacy) ความปลอดภัย (security) และประสิทธิภาพ (performance) สูงสุด
ที่มา : cointelegraph.com