ความแออัดของ Network บล็อกเชนจะเกิดขึ้นเมื่อจำนวนธุรกรรมที่ส่งไปยัง Network มีมากเกินความสามารถในการประมวลผลของ Network ปัญหานี้อาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น
- กิจกรรมการทำธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น เช่น ในช่วงที่มีราคาสกุลเงินดิจิทัลพุ่งสูงขึ้น ปริมาณการทำธุรกรรมบน Network ของ Bitcoin และ Ethereum ก็พุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
- บล็อกขนาดเล็ก บล็อกเชนบางเครือข่าย เช่น Bitcoin มีบล็อกขนาดเล็ก (1MB) ซึ่งจำกัดจำนวนธุรกรรมที่สามารถบรรจุลงในบล็อกได้
- เวลาของบล็อกที่ช้า บล็อกเชนบางเครือข่าย เช่น Bitcoin มีเวลาของบล็อกที่ช้า (10 นาที) ซึ่งหมายความว่าธุรกรรมอาจต้องใช้เวลานานกว่าปกติในการได้รับการยืนยัน
ผลที่ตามมาอันเนื่องจากความแออัดของ Network
ความแออัดของ Network บล็อกเชนอาจทำให้เกิดผลเสียหลายประการที่ขัดขวางความสามารถของ Network ให้ทำงานได้อย่างราบรื่น เช่น
- ค่าธรรมเนียมธุรกรรมเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักขุดจะเลือกธุรกรรมที่มีค่าธรรมเนียมสูงกว่าก่อน ดังนั้นเมื่อเครือข่ายแออัด ค่าธรรมเนียมธุรกรรมจึงมักจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- เวลายืนยันธุรกรรมล่าช้า เมื่อเครือข่ายแออัด ธุรกรรมอาจต้องใช้เวลานานกว่าปกติในการได้รับการยืนยัน ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจและหันไปใช้ระบบอื่นแทน
- ประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อการใช้งาน ความแออัดของ Network อาจทำให้ผู้ใช้ประสบปัญหาต่างๆ เช่น การทำธุรกรรมไม่สำเร็จ ไม่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่าย หรือต้องรอนานเกินไปในการยืนยันธุรกรรม สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกหงุดหงิดและไม่อยากใช้งานระบบอีกต่อไป
- ความผันผวนของตลาด ความแออัดของ Network อาจทำให้ตลาดสกุลเงินดิจิทัลมีความผันผวนมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนอาจกังวลว่าธุรกรรมของพวกเขาจะไม่ได้รับการยืนยันทันเวลา
- ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ความแออัดของ Network อาจทำให้เครือข่ายมีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามต่างๆ เช่น การทำธุรกรรมปลอม หรือการขโมยข้อมูลส่วนตัว
- ความเสี่ยงจากการรวมศูนย์ของ Network ความแออัดของ Network อาจทำให้เครือข่ายมีแนวโน้มที่จะรวมศูนย์มากขึ้น เนื่องจากนักขุดรายใหญ่อาจได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้
ตัวอย่างความแออัดของ Network
ทั้ง Network ของ Bitcoin และ Ethereum ต่างก็เคยประสบปัญหาความแออัดของ Network เป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น ในปี 2017 เครือข่าย Bitcoin ประสบปัญหาความแออัดอย่างหนัก เนื่องจากราคาของ Bitcoin พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ปริมาณการทำธุรกรรมบนเครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างมาก ค่าธรรมเนียมธุรกรรมในช่วงเวลานั้นพุ่งสูงถึงหลายร้อยดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้การทำธุรกรรมขนาดเล็กไม่สามารถทำได้จริง
วิธีแก้ปัญหาเพื่อบรรเทาความแออัดของ Network
การแก้ไขปัญหาความแออัดบน Network ของบล็อกเชนนั้นนับเป็นปัญหาที่ซับซ้อน วิธีแก้ปัญหามีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อเสียต่างกันไป เช่น
- การเพิ่มขนาดบล็อก เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดวิธีหนึ่ง โดยการเพิ่มขนาดบล็อกจะทำให้สามารถบรรจุธุรกรรมได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจทำให้เครือข่ายมีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามต่างๆ เช่น การโจมตีแบบ 51%
- การลดเวลาของบล็อก เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ช่วยให้ธุรกรรมได้รับการยืนยันได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจทำให้เครือข่ายไม่ปลอดภัย เนื่องจากนักขุดสามารถเพิ่มบล็อกปลอมลงในเครือข่ายได้
- โซลูชันเลเยอร์ 2 เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ช่วยแยกธุรกรรมบางส่วนออกจากบล็อกเชนหลัก ทำให้สามารถประมวลผลธุรกรรมได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจทำให้ระบบมีความซับซ้อนมากขึ้น
- Sharding เป็นวิธีแก้ปัญหาที่แบ่งบล็อกเชนออกเป็นส่วนเล็กๆ ที่สามารถทำงานร่วมกันได้ ทำให้สามารถประมวลผลธุรกรรมได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจทำให้เครือข่ายมีความซับซ้อนมากขึ้นเช่นกัน
- การปรับค่าธรรมเนียม เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่ต้องการได้เอง ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมต้นทุนในการทำธุรกรรมได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจทำให้เครือข่ายมีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามต่างๆ เช่น การโจมตีแบบ DoS
เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าผู้ใช้จำนวนมากขึ้นจะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ปัญหาความแออัดของ Network จึงได้รับความสนใจ ความสามารถของ Network ในการประมวลผลธุรกรรมปริมาณมากได้อย่างราบรื่นถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการนำไปใช้และการใช้งานในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับระบบบล็อกเชนที่มีจุดประสงค์อำนวยความสะดวกให้กับการทำธุรกรรมแบบเรียลไทม์ในทุกวัน
วิธีสมัคร Binance TH
สมัคร BinanceTH
สามารถซื้อขายได้ที่ BinanceTH
หมายเหตุ: คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้