ปีหน้าจะได้เห็น Binance สูญเสียความเป็นผู้นำ ภาวะถดถอยของสหรัฐฯ มูลค่าตลาดของเหรียญ stablecoin จะสูงขึ้นอีก และราคา Bitcoin จะทำราคาสูงสุดใหม่ ตามที่ VanEck บริษัทจัดการลงทุนวิเคราะห์เอาไว้
Bitcoin (BTC) จะแตะระดับราคาสูงสุดในประวัติการณ์ (ATH) ในช่วงปลายปี 2024 ท่ามกลางภาวะถดถอยของสหรัฐฯ ที่น่าหวาดกลัว และการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งหน้า บริษัทฯ คาดการณ์
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม VanEck ได้คาดการณ์ราคาคริปโต 15 รายการ ในปี 2024 ได้แก่ การทำนายราคา ช่วงเวลา spot Bitcoin ETF เปิดตัว ผลกระทบจาก Bitcoin halving และแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเกิดใหม่ที่โดดเด่น
VanEck เป็นหนึ่งในหลายบริษัท รวมถึง BlackRock และ Fidelity กำลังแย่งชิงกองทุน spot Bitcoin ETF ที่กำลังรออนุมัติ และ spot Ethereum ETF ด้วย
เม็ดเงินไหลจะเข้า Bitcoin ETF มูลค่า $2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสที่ 1
VanEck มั่นใจว่า spot Bitcoin ETF แรกจะได้รับอนุมัติในไตรมาสแรก อย่างไรก็ตาม ก็คาดการณ์ถึงเศรษฐกิจอันมืดมนของสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
“ในที่สุดแล้วภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ ก็จะมาถึง และ spot Bitcoin ETF ตัวแรกก็มา” ก่อนที่จะทำนายว่า “มีโอกาสที่เม็ดเงินมากกว่า $2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ไหลเข้าสู่ ETF เหล่านี้ ในไตรมาสแรกของปี 2024 ผลักดันราคา Bitcoin ให้สูงขึ้นได้อีก”
บริษัทยังกล่าวถึงเหตุการณ์ BTC halving ที่จะเกิดขึ้นในเดือนเมษายนหรือพฤษภาคมด้วยว่า “จะไม่ส่งกระทบต่อตลาดมากนัก” แต่ราคาจะเพิ่มขึ้นหลังเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว
VanEck คาดการณ์ว่า Bitcoin จะทำราคาสูงสุดใหม่ในประวัติการณ์ (ATH) ในไตรมาสที่ 4 ปี 2024 “อาจได้แรงหนุนจากเหตุการณ์ทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียนหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ”
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีกำหนดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024
Ether จะยังไม่แซงหน้า Bitcoin
บริษัทฯ เชื่อว่า Ether (ETH) จะไม่แซงหน้า Bitcoin ในปี 2024 แต่ยังคงโดดเด่นมีประสิทธิภาพเหนือกว่าหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่
“คล้าย ๆ กับรอบที่ผ่านมา Bitcoin จะนำพาตลาดทะยานขึ้น และมูลค่าจะไหลไปสู่โทเคนที่เล็กกว่าหลังจากเหตุการณ์ halving ผ่านไป ส่วน ETH ประสิทธิภาพจะไม่เหนือกว่า Bitcoin จนกว่าหลัง halving และประสิทธิภาพอาจเหนือกว่าในปีนั้น แต่จะยังไม่ ‘แซงหน้า’” VanEck ทำนาย
อัตราส่วนราคา ETH/BTC ที่มา: VanEck
ทั้งนี้ ส่วนแบ่งตลาดของ Ether จะถูกท้าทายโดยแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะอื่น ๆ เช่น Solana ซึ่งมี “ความไม่แน่นอนน้อยกว่าในแง่ของแผนงานความสามารถในการปรับสเกล”
Ethereum เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมปัจจุบันสำหรับสัญญาอัจฉริยะ โดยมีมูลค่าตลาด $285 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ Solana เป็นบล็อกเชนคู่แข่งที่มีปริมาณงานสูง มูลค่าตลาดอยู่ที่ $30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม เครือข่าย Ethereum เลเยอร์ 2 จะช่วงชิงมูลค่าทั้งหมดที่เข้ากับได้กับ EVM ที่ล็อกเอาไว้และปริมาณซื้อขาย เมื่อมีการใช้งานอัปเดตการปรับสเกล EIP-4844
การกระจายศูนย์ทลายการผูกขาดของ AI
เมื่อต้นสัปดาห์นี้ Andreessen Horowitz (a16z) ยังคาดการณ์หลายเรื่องด้วยกันในรายงาน Big Ideas in Tech for 2024 ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม แม้จะมุ่งเน้นเรื่องปัญญาประดิษฐ์และการกระจายศูนย์ก็ตาม
จากรายงานดังกล่าว บริษัทฯ เชื่อว่า คริปโตสามารถช่วยย้าย AI ออกจากเงื้อมมือของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเพียงไม่กี่ราย เช่น OpenAI, Google, และ Meta ไปสู่ชุชน Web3 ที่กว้างขวางขึ้น
กล่าวคือเครือข่ายแบบกระจายศูนย์ถ่วงดุลโมเดลปัญญาประดิษฐ์แบบกระจายศูนย์ ซึ่งปัจจุบันต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลที่มีเพียงยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเท่านั้นที่เข้าถึงได้
อย่างไรก็ตาม เครือข่ายคริปโตสามารถสามารถใช้งานตลาดที่มีส่วนร่วม (permissionless markets) ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในพลังประมวลผลและข้อมูลเพื่อฝึกฝนโมเดลภาษาขนาดใหญ่ และจะมีมากขึ้นในปี 2024
“ด้วยกับคริปโต มันเป็นไปได้ที่จะสร้างตลาดแบบหลายด้าน สากล ตลาดแบบมีส่วนร่วม ใครก็เข้ามามีส่วนร่วมได้ และได้ค่าตอบแทนสำหรับการประมวลผลหรือชุดข้อมูลใหม่ไปยังเครือข่าย”
VanEck ยังคาดการณ์ด้วยว่า Binance จะสูญเสียความเป็นผู้นำสูงสุดของตลาดแบบรวมศูนย์ (CEX) ตามปริมาณซื้อขาย เนื่องจากคู่แข่งอย่างเช่น Coinbase, OKX, Bybit และ Bitget ต่างแข่งขันกันเป็นผู้นำ
Binance ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันด้านกฎระเบียบทั่วโลก เมื่อเร็ว ๆ นี้ Changpeng Zhao ซีอีโอ Binance ที่มีอิทธิพลในวงการอย่างสูงได้ก้าวลงจากตำแหน่งท่ามกลางดีลข้อตกลงยอมรับสารภาพผิดจ่ายค่าปรับ $4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DoJ)
ในขณะเดียวกัน มูลค่าตลาดของ stablecoin จะสูงถึง $200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย USDC ของ Circle จะกลับมาอีกครั้ง ตลาด DEX (decentralized exchange) ปริมาณซื้อขายจะทำจุดสูงสุดใหม่ในประวัติการณ์ และแพลฟตอร์ม DeFi ที่มี KYC จะเหนือกว่าแพลตฟอร์มที่ไม่ได้ใช้งาน
ที่มา : cointelegraph.com