คุณมีโอกาสสูญเสียเงินออมสูงถึง 90% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อภายใน 100 ปี แต่เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นกับ Bitcoin
ในขณะนี้ Bitcoin (BTC) ประมาณ 3.6% ถูกล็อกเอาไว้จากการถือครองของนักลงทุนสถาบันในระยะยาว จากข้อมูลพบว่า 13 องค์กร ถือครองทั้งหมดเกือบ 600,000 BTC ประมาณ 2.85% ของ Bitcoin ทั้งหมด และมีมูลค่าประมาณ $6.9 พันล้านเหรียญ
ยกตัวอย่างเช่น MicroStrategy ติดอันดับหนึ่ง ถือครองประมาณ 38,250 BTC (ประมาณ $450 ล้านเหรียญ) อันดับสองก็คือ Galaxy Digital Holdings ประมาณ 16,651 BTC (ประมาณ $198 ล้านเหรียญ) อันดับสามก็คือ Square Inc บริษัทด้านเพย์เมนต์ ถือครองประมาณ 4,709 BTC ซึ่งก่อตั้งโดยคุณ Jack Dorsey ซีอีโอ Twitter บริษัทบางแห่งช่วยเหลือลูกค้าให้ถือครอง BTC อย่างเช่นGrayscale Investments ถือครองผ่าน GBTC trust ประมาณ 450,000 BTC
จำนวน Bitcoin ที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ถือครองเป็นเงินทุนสำรองถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับทรัพย์สินขององค์กรทั่วโลก จริง ๆ แล้ว จำนวนเงินสดถือครองในสินทรัพย์สำรองมีมูลค่านับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้วเมื่อลองพิจารณาเรื่องนี้ดูแล้ว บริษัทสัก 9 แห่ง ในตลาด S&P 500 ที่กำลังนั่งทับเงินสด $600 พันล้านเหรียญและมีการลงทุนในระยะสั้นอยู่ หากเพียง 5% (หรือ $30 พันล้านเหรียญ) ของมูลค่าเหล่านั้นหันมาซื้อ Bitcoin แล้วหล่ะก็ ราคาอาจเพิ่มขึ้นห้าเท่าได้อย่างง่ายดาย
แน่นนอนว่า คำถามก็คือ จะวางเงินลงทุน Bitcoin ในพอร์ตการลงทุนใดของบริษัทดี หมวดการลงทุนที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ “การลงทุนทางเลือก” จำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการลงทุนแบบเก่ากับการลงทุนทางเลือก อาจลดความต้องการตลาดคริปโตเคอร์เรนซีลงหน่อย
ทั้งนี้ ความต้องการยังมีอีกมากมาย ตามที่ Fidelity รายงาน ตลาดการลงทุนทางเลือกเพิ่มขึ้น $13.4 ล้านล้านเหรียญในปลายปี 2018 และ Bitcoin ยังน้อยมาก อาจต้องใช้เวลาสักหน่อยให้ถึง 5% จะได้เห็นราคา Bitcoin พุ่งแรง
บริษัทเพื่อการลงทุนยังเลือกสร้างบริษัทโฮลดิ้งแยกออกมาต่างหากสำหรับถือครอง Bitcoin และสินทรัพย์คริปโตสกุลอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น Stone Ridge เปิดตัว New York Digital Investment Group ซึ่งปัจจุบันมีคริปโตมูลค่ามากกว่า $1 พันล้านเหรียญ
อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของความเคลื่อนไหวนี้?
เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้ให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ฉันเพิ่งคุยกับคุณ Michael Saylor ผู้ก่อตั้ง MicroStrategy โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันพบว่ามุมมองการเลือก 100 ปี เป็นฐานประเมินความสำเร็จหรือความล้มเหลวของสินทรัพย์สำรองของเขาค่อนข้างน่าสนใจมาก
แน่อยู่แล้ว บริษัทส่วนใหญ่ก่อตั้งขึ้นแล้วคาดหวังว่าบริษัทของพวกเขาอาจอยู่ได้ไม่นานถึงหลายทศวรรษ แม้แต่คนทั่วไป ก็ควรพิจารณาว่าการลงทุนอาจเปลี่ยนแปลงไปในช่วงร้อยกว่าปี เนื่องจากอาจสะสมความมั่งคั่งเอาไว้สำหรับทายาทในอนาคต … คุณ Michael Saylor กล่าวว่า
วิธีที่ยอมเยี่ยมมากในการประเมินการลงทุนใด ๆ ก็คือ การใช้เงิน $100 แล้วมองไปข้างหน้าแล้วตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น หากมีเงินมูลค่า $100 ในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 1900 แล้วฉันจะก้าวไปข้างหน้า 100 ปี และฉันได้วางเงินไว้ในธนาคารที่ดีที่สุดในเมืองนี้ ฉันมีความเสี่ยงอยู่สองประเภท นั่นคือ ความเสี่ยงของคู่สัญญากับความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อ ความเสี่ยงของคู่สัญญาอาจะเกิดขึ้นเนื่องจากธนาคารรายใหญ่ในเมืองใหญ่ ๆ ทุกแห่งอาจล้มเหลวในรอบ 100 ปี และนั่นคือ มีความน่าจะเป็น 90% ที่คุณจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
แน่นอนว่า จุดอ่อนที่สุดเมื่อพิจาณาประสิทธิภาพสินทรัพย์สำรองในรอบ 100 ปี นั่นคือ อัตราเงินเฟ้อ เมื่อเวลาผ่านไปจากสินทรัพย์ทุกประเภทเงินตราประสบปัญหาเงินเฟ้อมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น เงิน 5$ ในปี 1920 สามารถซื้อสิ่งของได้มากกว่าในปี 2020 จากเว็บไซต์รวบรวมและประมวลผลข้อมูลของรัฐบาลเพื่อประโยชน์สาธารณะพบว่า เงินดอลลาร์สหรัฐ สูญเสียมูลค่าเกือบ 2% (กำลังซื้อ) ทุกปี
แล้วสินทรัพย์อื่น ๆ หล่ะ?
ในขณะที่อสังหาริมทรัพย์ดูเหมือนว่าเป็นสินทรัพย์ที่ดีมากในการถือครองเป็นสินทรัพย์สำรองในระยะยาว แต่มันมีความอ่อนไหวอาจเสียมูลค่าผ่านสิ่งต่าง ๆ อย่างเช่น ภาษี เป็นต้น สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้น อสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่าง ๆ หรือการบริหารการปกครองสาธารณะ ในช่วง 100 ปี มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลที่เคารพความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ส่วนตัวอาจยึดเป็นของรัฐบาลเอง สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลาย ๆ ครั้งทั่วโลกในศตวรรษที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน หุ้นต่าง ๆ ก็เผชิญกับความเสี่ยงจากการจัดการที่ไม่ดีและจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่าง ๆ คุณ Michael Saylor ยกตัวอย่างเรื่องสาธารณูปโภคด้านพลังงานและน้ำ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ทำกำไรสูงมากอาจกลายเป็นของประเทศ เราไม่สามารถพูดด้วยความมั่นใจได้เลยว่าในอีก 100 ข้างหน้า ยกตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต จะไม่ถูกเปลี่ยนเป็นสาธารณูปโภคหรือไม่
แม้แต่ทองคำและโลหะมีค่าต่าง ๆ ก็มีปัญหาเมื่อพิจารณาในรอบ 100 ปี ในขณะที่พวกเขาชื่นชอบแต่เมื่อเวลาผ่านไปปัญหาการขนย้ายกลายเป็นเรื่องตึงเครียด คุณอาจใช้บริการการจัดเก็บของบุคคลที่สาม อย่างเช่น ธนาคารพาณิชย์ แต่ประวัติศาสตร์สอนเราว่า ทองคำก็อาจสูญหาญได้แม้ว่ามันจะเก็บไว้ที่นั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามหรือความวุ่นวายทางการเมือง อย่างเช่น การปฏิวัติ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทองคำจำนวนมากถูกขโมยจากคนร้ายทั้งที่มาจากรัฐเองและที่ไม่ได้มาจากรัฐ ทำนองเดียวกันในช่วงปฏิวัติโซเวียต ทองคำของเอกชนจำนวนมากถูกยึดโดยรัฐบาลที่เข้ามาใหม่
แล้ว Bitcoin หล่ะเป็นอย่างไร?
ตอนนี้ Bitcoin ไม่มีความเสี่ยงเรื่องคู่สัญญา กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราไม่ต้องกังวลว่าการดำเนินการของบุคคลที่สามจะมีผลต่อการสูญเสียมูลค่าสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังป้องกันความเสี่ยงจากกฎระเบียบต่าง ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลอย่างรุนแรง ผู้ถือครอง Bitcoin มักจะควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์
เนื่องจากเป็นเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ แพลตฟอร์ม Bitcoin จะให้ผู้ถือครองสินทรัพย์ในระดับที่ควบคุมได้สามารถก้าวข้ามกฎเกณฑ์ควบคุมหรือการใช้กำลังบังคับของรัฐได้ ขณะเดียวกันแทบมั่นใจได้เต็มที่ว่ามูลค่าของมันจะเติบโตอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายปี เนื่องจากอุปทานกำหนดไว้จำกัดและเหรียญใหม่ ๆ ที่ออกมาลดลงทุก ๆ สี่ปี
ความเป็นอิสระและความขาดแคลนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของ Bitcoin นั้น เมื่อเวลาผ่านไปจะผลักดันให้มูลค่าของมันเพิ่มขึ้น และมันไม่น่าแปลกใจเลยใน 100 ปีข้างหน้า จะเห็นราคาของมันสูงกว่าในปัจจุบันมาก
ที่มา : cointelegraph.com
——————————————————–
สนับสนุนโดยกลุ่ม Coin Thai Talk : https://www.fb.com/groups/CoinThaiTalk/ กลุ่มใหม่ของคนรักคริปโต