หน่วยงานกำกับดูแลตลาดการเงินของประเทศไทยได้แบนคริปโทเคอร์เรนซี หลายสกุลที่ใช้ลงทุนใน ICO และใช้เป็นฐานในการเปรียบเทียบมูลค่ากับสินทรัพย์ดิจิทัล (trading pairs) ตัวอื่น ๆ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกกฎเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาโดยระบุว่านิติบุคคลใด ๆ ที่ต้องการดำเนินการขายโทเคนจะต้องยื่นคำร้องเพื่อขออนุมัติก่อน ในเวลานั้นสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่ามีเพียงสกุลเงินบาทสกุลเงินของประเทศไทยและสกุลเงินดิจิทัล 7 สกุลเงินเท่านั้นที่สามารถนำมาใช้ในการลงทุนใน ICO ได้แก่ bitcoin (BTC), bitcoin cash (BCH), ether (ETH), ether classic (ETC), litecoin (LTC), XRP และ stellar (XLM)
ในประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ก.ล.ต. กล่าวว่าขณะนี้ได้ถอน bitcoin cash, ether classic และlitecoin ออกจากรายการสกุลเงินดิจิทัลที่มีสิทธิ์ ด้วยเหตุนี้จึงอนุญาตให้ใช้สกุลเงินดิจิทัลเพียง 4 สกุลที่เหลือเท่านั้น โดยเตือนว่ารายการเหล่านี้ “ไม่ใช่การรับรองสถานะให้เป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายแต่อย่างใด”
หน่วยงานไม่ได้ให้รายละเอียดใด ๆ ว่าทำไมรายการจึงถูกปรับลดลง แม้ว่าโดยหลักคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ข่าวสารที่เกี่ยวข้อง และการพัฒนาปัจจัยสำคัญอื่น ๆ เกี่ยวกับโทเคน
“ซึ่งการปรับปรุงดังกล่าวมิได้ส่งกระทบใด ๆ ต่อผู้ลงทุนหรือผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลแต่อย่างใด เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการออกและเสนอขายไอซีโอ ตลอดจนศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ประกอบธุรกิจอยู่ในปัจจุบันมิได้มีการใช้ BCH ETC หรือ LTC เป็น base trading pair แต่อย่างใด” ก.ล.ต. กล่าว
หน่วยงานกำกับดูแลเสริมว่าจะประกาศรายชื่อเป็นคริปโทเคอร์เรนซีที่มีสิทธิ์ใช้ในการลงทุนเป็นไปตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วสภานิติบัญญัติแห่งชาติของประเทศได้อนุมัติการแก้ไขพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ออกกฎหมายให้ออกหลักทรัพย์ โทเคน เช่นเดียวกับหุ้นและพันธบัตรได้
ที่มา : coindesk.com
